วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561

7 เคล็ดลับการกินอาหารเพื่อสุขภาพ กินดี อยู่ดี


ปัจจุบันการดูแลรักษาสุขภาพเป็นเรื่องที่หลายๆคนให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก เพราะเราไม่รู้เลยว่าโรคภัยไข้เจ็บจะเกิดขึ้นเมื่อใดกับใคร และไม่รู้ว่าในแต่ละวันนั้นมีสิ่งใดที่ทำลายสุขภาพไปแล้วบ้าง ดังนั้นในวันนี้เรามีวิธีการดูแลสุขภาพด้วยการกินอาหารเพื่อสุขภาพมาฝาก ซึ่งเราเชื่อว่าชาว Health-TH ทำได้อยู่แล้ว

1. อย่าละเลยอาหารเช้า

ขนมปังไข่ดาว
ขนมปังไข่ดาว

มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่นอกจากจะช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายตลอดทั้งวันแล้ว ยังช่วยเพิ่มความจดจำของสมองให้ดียิ่งขึ้น หากเลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างเมนูสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น แซนวิชโฮลเกรน ไข่ต้ม เนยถั่ว หรือ แม้แต่ผลไม้สดๆ อย่าง กีวีและสตอเบอร์รี่

2. โปรตีนที่ได้รับต้องเพียงพอ

ปลาแซลมอน
ปลาแซลมอน

ร่างกายของคนเรานั้นจะขาดโปรตีนไปไม่ได้ เพราะโปรตีนเป็นอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ช่วยปรับความคงที่ของฮอร์โมนในการเผาผลาญพลังงาน อาหารที่มีแหล่งโปรตีน ได้แก่ เนื้อปลาทะเล ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ไข่ นม โยเกิร์ต ถั่วเมล็ดแห้ง และเต้าหู้

3. รู้จักเลือกทานคาร์โบไฮเดรต


ขนมปัง
ขนมปัง

หลายคนมักจะละเลยการทานแป้ง เพราะมีความเข้าใจว่าการทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตนั้นจะทำให้อ้วน แต่ในความเป็นจริงนั้น คาร์โบไฮเดรตนั้นมีหลากหลายชนิดให้เราเลือก ไม่ว่าจะเป็น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ข้าวโอ๊ต อาหารเหล่านี้นอกจากจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายแล้วยังสามารถลดความอ้วนได้อีกด้วย

4. ดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ

ดื่มน้ำ
ดื่มน้ำ

นอกจากจะช่วยคงความสดชื่นให้กับร่างกายแล้ว ยังช่วยทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดอุดตันได้อีกด้วย การดื่มน้ำที่ถูกวิธีนั้นควรจิบน้ำบ่อยๆ และดื่มให้ได้วันล่ะ 8-12 แก้ว แต่ถ้าหากอยากเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย ลองเติมน้ำมะนาวหรือน้ำส้มลงไปดูสิ

5. ของว่างระหว่างมื้อก็สำคัญนะ

เบอร์รี่
เบอร์รี่

อาหารว่างหรือของว่างนั้น หลายคนคิดว่าไม่สำคัญแต่ที่จริงแล้วมีความสำคัญเป็นอย่างมากทีเดียวเชียวค่ะ เพราะนอกจากจะช่วยทำให้ผ่อนคลายแล้วยังช่วยลดความอยากอาหาร อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายในระหว่างวันได้ ในแต่ละวันอาจจะเลือกทานพวก ผลไม้สด โยเกิร์ต ธัญพืชสมุนไพร ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น

6. กรดโอเมก้า 3 ช่วยคลายความเครียด

ปลาทูน่า
ปลาทูน่า

โอเมก้า 3 นอกจากจะมีประโยชน์ต่อหัวใจ สมองและผิวพรรณแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายจากความเครียดได้อีกด้วย แหล่งอาหารที่มีกรดโอเมก้า 3 ได้แก่ ปลาสำลี ปลาแซลมอน ปลาทู ปลากะพงขาว ปลาทูน่า ผักใบเขียวเข้ม และ เมล็ดแฟลกซ์ หากรู้สึกเครียด ออกไปหาปลาทานกันดีกว่าคะ

7. รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่

อาหาร 5 หมู่


การเลือกรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ และได้สัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายนั้นสำคัญที่สุด เพราะในแต่ละวัน ร่างกายของคนเรามักจะทำกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป การกินอาหารที่มีความหลากหลายย่อมช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง สดชื่น ไม่ป่วยง่าย

9 เคล็ดลับง่ายๆ กินดีสุขภาพดี


อาหารเพื่อสุขภาพ
อาหารเพื่อสุขภาพ
ใครๆก็อยากมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงด้วยกันทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ยิ่งเป็นการรักษาสุขภาพในระยะยาวด้วยแล้ว ยิ่งต้องให้ความใส่ใจกันเป็นพิเศษ บางคนถึงกับกังวลว่าเราทำได้ถูกวิธีหรือเปล่า ขยับมาทางนี้สิคะ มาดูกันว่าเคล็ดลับกินดีสุขภาพดีทั้ง 9 ข้อนั้นมีอะไรบ้าง

1. เลือกกินผักและผลไม้หลากสี

เราคงเคยได้ยินเกี่ยวกับผักและผลไม้ 5 สี 5 อย่างมาบ้างแล้ว นั่นเป็นการกินที่ถูกต้องที่สุดเลยคะ และในแต่ละมื้อควรมีผักและผลไม้อย่างน้อย 5 อย่าง เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระสูง และเป็นการหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ไม่ดี

2. กำจัดปริมาณแคลอรี่ในเครื่องดื่ม

อย่าง น้ำอัดลม น้ำหวาน สมูตตี้ หรือน้ำผลไม้ ควรหันมาทานผลไม้สดที่ไม่มีรสหวาน หรือเลือกที่จะดื่มน้ำเปล่าให้ได้ 8-12 แก้วแทน หากเบื่อเมนูแบบเดิมๆอาจจะเปลี่ยนมาเป็น น้ำผักผลไม้แบบแยกกากดูก็ไม่เลวเชียวคะ

3. เพิ่มผักในมื้ออาหารเพื่อรอบเอวให้น่าอิจฉา

การเพิ่มผักลงไปในมื้ออาหารของคุณ ไม่ว่าจะเป็น พริกหยวก ผักสลัด มะเขือเทศ โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูงอย่าง พิซซ่า เพราะจะทำให้คุณอิ่มได้เร็วขึ้นอีกทั้งยังทำให้คุณไม่อยากขนมหวาน

4. เลิกกินอาหารทุกอย่างที่คุณอยากกิน

บ่อยครั้งที่ร่างกายเรามักจะโหยหาอาหารที่ชอบอย่าง เฟรนช์ฟราย นักเก็ตไก่ อาหารเหล่านี้เราไม่ได้บอกให้คุณอดเลยทันทีคะ เพราะนั่นจะเป็นการหักดิบที่มากเกินไป เพียงแต่ให้คุณเปลี่ยนเมนูจากทอดมาเป็นการอบแทน

5. กินมื้อเล็กๆทุก 4-5 ชั่วโมง

อาหารมื้อเล็กๆที่จัดแบ่งในแต่ละวัน จะช่วยให้ร่างกายของคุณไม่หิว และยับยั้งอาการปวดท้องและช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้คงที่

6. เลือกอาหารออร์แกนิกแทนอาหารแปรรูป

อาหารออร์แกนิกเป็นอาหารที่ไม่ผ่านยาฆ่าแมลงและปลอดสารพิษ เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าและวิตามินแร่ธาตุที่สำคัญต่างๆ

7. เลือกไขมันดีมาเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร

เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยในการเผาผลาญไขมันและลดปริมาณคอเรสเตอรอลที่ไม่ดีต่อร่างกาย

8. เลี่ยงการกินแบบไม่มีเหตุผล

สาวๆหลายคนมักจะมีนิสัยว่างเป็นกินตลอด ทั้งๆที่ไม่ได้หิวหรอกนะ แต่อยากหาอะไรทำเท่านั้นเอง ลองหันมาเปลี่ยนเป็นการออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ อย่างการซิทอัพ หมุนฮูล่าฮูป ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเผาผลาญ ยังช่วยให้คุณลืมความอยากอาหารอีกด้วย

9. อาหารที่มีแคลอรีสูงทิ้งไปซะ

อย่างไอครีม น้ำหวาน น้ำผลไม้กล่อง น้ำอัดลม ควรเอาออกจากตู้เย็นไปซะ เปลี่ยนมาเป็น น้ำเปล่า ผลไม้สด น้ำผึ้ง เนยถั่ว เมล็ดทานตะวัน ซีเรียลธัญพืช เป็นต้น

5 ทางเลือกสู่สุขภาพดี ด้วยงบประมาณเบาๆ

ทุกวันนี้เทรนด์การดูแลสุขภาพกําลังมาแรง ไม่ว่าจะกินคลีน การออกกําลังกายรูปแบบต่างๆ การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แถมยังเป็นเรื่องสําคัญที่เราๆมักมองข้ามกันไป อย่าลืมว่าเรามีร่างกายเดียวที่เสียแล้วซื้อใหม่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ควรดูแลร่างกายของเราให้ดีที่สุด มาถึงจุดนี้คุณๆหลายคนคงสังเกตได้ว่าในปัจจุบันสินค้าและบริการต่างๆก็ประโคมการตลาดเกาะติดเทรนด์สุขภาพที่ว่านี้ ไม่ว่าจะเป็น อาหารเสริมสุขภาพ โปรแกรมการออกกําลังกาย และอีกมากมายนับไม่ถ้วน แต่มันจะดีกว่าไหมคะถ้าเราลองดูแลร่างกายตัวเองอย่างง่ายๆตามเคล็ดลับนี้กันก่อน

1. เลือกอาหารเสริมที่เหมาะกับคุณ

อาหารเสริม
อาหารเสริม

อย่าเผลอตกเป็นเหยื่อของการตลาดและการโฆษณาระดับเทพของวิตามินและอาหารเสริมต่างๆ มันไม่จำเป็นเลยที่คุณจะต้องกักตุนวิตามินที่คนอื่นว่าดี เอาเข้าจริงๆแล้วคุณอาจไม่ได้แตะมันเลยก็ได้ แต่ขอแนะนําให้คุณลองดูชิว่าร่างกาย คุณต้องการวิตามินหรืออาหารเสริมอะไรและเลือกมันให้เหมาะกับสุขภาพของคุณเท่านั้น

2. เช็คสุขภาพฟันเป็นประจำ

ฟัน
ฟัน

อย่าเลื่อนนัดหมอฟัน ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะคิดว่าการไปตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำทุกๆ 6 เดือนนั้นอาจจะไม่จําเป็น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่ได้มีความรู้เท่าทันตแพทย์และไม่มีเครื่องมือที่จะตรวจตราได้แม่นยําครบทุกชอกฟัน อย่ารอจนมารู้ทีหลังว่าฟันที่ต้องถอนและใส่ฟันปลอมแทน คุณสามารถหลีกเลี่ยงได้หากไปเช็คฟันเรื่อยๆ และทําการแก้ไขด้วยวิธีอื่นได้ทันเวลา

3. เช็คร่างกายเป็นประจำทุกปี

Advertisement
เครื่องวัดความดันโลหิต
เครื่องวัดความดันโลหิต

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่ อย่าคิดว่าคงไม่จําเป็นที่จะต้องเสียเงินตรวจสุขภาพ เพราะไลฟ์สไตล์ในยุคจรวดที่มีทั้งความเครียดและสิ่งปรุงแต่งต่างๆ ในชีวิตประจําวันที่ส่งผลให้ร่างกายของเราทรุดโทรมได้ไวขึ้น อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่แล้วว่าโรคใดๆก็ตามนั้น หากได้มีการตรวจพบเสียแต่เนิ่นๆ โอกาสในการรักษาทั้งในแง่เวลา ขั้นตอน และค่าใช้จ่ายนั้นจะ ประหยัดกว่าเมื่อไปพบในระยะโคม่า ที่สําคัญที่สุดเลยคือโรคร้ายแรงส่วนใหญ่มีทางรักษาให้รอดชีวิตได้ถ้ารักษาแต่เบื้องต้น

4. เลือกประกันสุขภาพที่คุ้มที่สุด

ประกันสุขภาพ


ในปัจจุบันมีผู้ให้บริการประกันสุขภาพรูปแบบต่างๆมากมาย ลองเลือกและคํานวณตัวเลขดูแล้ววิเคราะห์ว่าแบบไหนถึงจะเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

5. วางแผนมื้ออาหารเพื่อสุขภาพของตัวเอง

ผัก
ผัก

อาหารเพื่อสุขภาพที่จัดขายกันเป็นมื้อๆนั้น เมื่อนับรวมเป็นรายเดือนแล้ว ไม่ถือว่าถูกนะคะ แล้วถ้าหากคุณเป็นคนที่นิยมกินคลีนด้วยหละก็ถือว่าเปลืองมากเลยล่ะ ซึ่งอาหารเหล่านี้จริงๆแล้วทําง่ายมากและคุณเองก็ทําได้สบายๆ เพียงแค่ว่าขอให้วางแผนล่วงหน้าก่อนไปซุปเปอร์มาร์เก็ตว่าสัปดาห์หน้านี้จะทําเมนูใดบ้าง ลิสต์รายการส่วนประกอบมาให้ครบ ที่สําคัญ “ซื้อเฉพาะในรายการเท่านั้น” ร้อยทั้งร้อยของการไปจับจ่ายแต่ละครั้งหลายคนมักซื้ออาหารเกินความจําเป็น และหลายครั้งที่อาหารเหล่านั้นถูกโยนทิ้งเพราะเก็บนานจนเน่าเสีย ซึ่งถือว่าสิ้นเปลืองมาก

และที่สำคัญ คุณควรจัดสรรโปรแกรมออกกําลังกายด้วยตัวเองบ้าง อันนี้เป็นทีรู้กันอยู่แล้วว่าค่ารายเดือน-รายปี ของยิมสังกัดต่างๆนั้นโหดใช่ย่อย หลายคนท้วงว่าสมัครแพงๆ จะได้กระตุ้นให้ไปออกกําลังกายบ่อยๆ แต่จริงๆแล้วไม่จําเป็นเลย หากคุณตั้งใจ จริงแล้วว่าต้องเปลี่ยนตัวเองให้ได้ ออกไปวิ่ง ไปปั่นจักรยานตามสวนสาธารณะ หรือง่ายๆแค่รอบหมู่บ้านก็ยังไหว แล้วทําให้เป็นกิจวัตร โปรแกรมออกกําลังกายเซ็ตนี้คุณคิดเองได้ ทําได้ 
วันนี้เราจึงได้นำ 8 วิธีสะกิดใจตัวเอง ก่อนที่จะตัดสินสั่งหรือรับประทานอาหารขยะพวกนี้มาฝากกันค่ะ 
1. นึกถึงส่วนประกอบ 
เมื่อคุณนึกถึงอาหารขยะพวกนี้ และกำลังจะตัดสินใจที่จะเลือกมันเป็นอาหารมื้อนี้ คิดสักนิดค่ะ ว่าส่วนประกอบของมันมีประโยชน์กับเราไหม ถ้าคิดแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากความอ้วนและโรค ก็หันหลังแล้วไปหาอย่างอื่นรับประทานดีกว่าค่ะ 

2. พยายามหาอาหารที่มีครบสามสี 
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยคอร์เนล ในปี 2012 พบว่าคนเรานั้นมักชอบรับประทานอาหารไม่น้อยกว่าสามชนิดในหนึ่งครั้งหรือมีสามสีในจานเดียว ดังนั้นคุณควรจะเปลี่ยนเจ้าอาหารสามอย่างนี้มาเป็นของที่มีประโยชน์ แทนที่จะหยิบลูกอมมากินกาจะเป็นถั่วที่ให้สารอาหารมากกว่า หรือไม่ก็ผลไม้ หรือดาร์กช็อกโกแลตชิ้นเล็ก ๆ แทน เพื่อให้ร่างกายได้รับคุณค่าทางสารอาหารที่มากกว่า 


3. ต้องเลิกขี้เกียจซะที
 
ไม่ควรอย่างยิ่งเลยค่ะ ในเรื่องของนิสัยขี้เกียจของคุณ เพราะความขี้เกียจนี่เองทำให้เจ้าอาหารจานด่วนมันเข้าสิงคุณ และไม่อยากออกไปนอกบ้าน เลยตัดสินใจโทรสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดมากิน นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้คุณสลัดความขี้เกียจออกจากตัวให้หมดสิ้น แล้วเดินออกไปหาอะไรกินข้างนอก อาหารที่ตั้งขายอยู่มากมาย จะช่วยให้กระตุ้นความอยากอาหาร แถมยังช่วยให้คุณประหยัดเงินไปได้อีกเยอะเลยล่ะ 

4. เปลี่ยนของหวาน 
แหม นิสัยคนไทย ของคาวเสร็จก็ต้องอะไรหวานๆเย็นมาเสริฟหลังจากกินข้าวเสร็จ เป็นวิธีที่ไม่ผิดถ้าอยากรับประทานอะไรเพื่อล้างปา แต่ลองเปลี่ยนจากขนมหวานที่มีน้ำตาลมาก ไม่ดีต่อสุขภาพมาเป็นผลไม้ดีกว่าไหมค่ะ เช่นองุ่นแดงจะกลายเป็นไอศกรีมองุ่นที่อร่อยอย่าบอกใครเลยค่ะ ได้ทั้งความอร่อยและประโยชน์อย่างนี้ พลาดไม่ได้แล้วจ้า 

5. มีอาหารเพื่อสุขภาพติดตู้เย็นไว้ 
ลองเปลี่ยนจากขนมถุง ๆ ที่เต็มไปด้วยผงชูรสหาซื้อง่าย ราคาถูก และยังเปิดกินสะดวก แค่ฉีกซองก็กินได้เลย เพราะฉะนั้น ปิดโอกาสตัวเองด้วยการอย่าซื้ออาหารพวกนี้มาเก็บไว้ในบ้าน แต่ให้ซื้อผลไม้ เมล็ดทานตะวัน คุกกี้ธัญพืช หรือขนมเพื่อสุขภาพติดไว้ สร้างพฤติกรรมการทานอาหารที่ดีให้กับตัวเองไว้ก่อนดีกว่า 

6. ตัดใจบ้างนะ 
ทุกคนละค่ะ ล้วนมีขนมโปรดที่เห็นทีไรก็ห้ามใจไม่ไหวซักกะที บางทีตัดใจจากมันไปเสียบ้างก็ดีเหมือนกันนะค่ะ เช่น ของหวานเอย มันฝรั่งทอดเอย เมื่อคุณห่างกับมักสักพัก เดี๋ยวคุณก็ทำใจได้ในที่สุดค่ะ เพราะว่าร่างกายเราก็จะปรับตัวได้เอง และความอยากก็จะหายไปในที่สุด 


7. ตระหนักถึงอันตรายที่จะได้รับ 
วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เราตัดใจจากอาหารสำเร็จรูปได้สำเร็จ คือการตระหนักถึงอันตรายที่เราจะได้รับ 

8. เคี้ยวให้ช้าลง 
อดัม เมโลนาส เชฟชื่อดังและเป็นผู้ก่อตั้งสมาคม UNREAL Candy แนะนำว่า ให้เคี้ยวอาหารช้า ๆ แล้วคุณจะกินได้น้อยลง เทคนิคนี้นำไปใช้ได้ในกรณีที่คุณอดรนทนไม่ไหว จัดอาหารฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารสำเร็จรูปไปนานๆทีน่าจะดีกว่านะค่ะเพราะมันจะช่วยลดปริมาณที่คุณจะกินลงได้ครึ่งหนึ่งเลย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก: health.kapook.com/view59073.html 
ขอขอบคุณรูปภาพจาก: resimspot.com/wp-content/uploads/2012/05/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B0-11.jpg


ต้องบอกเลยนะ ว่าเจ้าขนมเข่ง พระเอกของเราในเทศกาลจีนๆไม่ว่าจะเป็นตรุษจีน สาร์ทจีน นั้น ใครๆก็ต้องรู้จักค่ะ เพราะว่าเทศกาลที่เพิ่งผ่านพ้นไปนะค่ะ เทศกาลเชงเม้ง ที่กวาดเอาเพื่อนๆในหอของนักเขียน กลับบ้านกันเสียหมดเลย ต้องเหงาเดียวดายในหอที่ไต้หวันเพียงลำพังเลย และมาถึงที่ไทยกันบ้าง คนไทยเราก็ไม่แพ้กันค่ะ คงไม่มีใครไม่รู้จักมันแน่ๆใช่ไหมละค่ะด้วยลักษณะเด่นของเจ้า ขนมเข่ง นี้ทั้งในเรื่องของขนมหน้าตาอ้วนกลม เหนียวหนึบ หอมอร่อย เมื่อถึงเทศกาลที่เกี่ยวกับๆจีนทีไรหลายคนเกิดอาการอดใจไม่ไหวต้องรับประทานทุกครั้ง และถึงแม้จะทราบกันดีอยู่แล้วนะค่ะว่า เจ้าขนมเข่งนี่แหละ ตัวดี ทำฉันน้ำหนักขึ้นเลย เพราะว่าไม่จะแป้งเอย น้ำตาลเอย นี่แหละคือตัวการที่อาจทำให้น้ำหนักขึ้นอย่างฉับพลันได้ แต่ถ้าเรามีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว การรับประทานขนมเข่งคงไม่ใช่เรื่องที่ทำให้อ้วน หรือน้ำหนักขึ้นอีกต่อไป

โดยเรื่องการรับประทานขนมเข่ง กินอย่างไรไม่ให้อ้วนในวันนี้ เราได้รับคำแนะนำดีๆจากเกี่ยวกับเรื่องน่ารู้ "ขนมเข่ง" โดย อ.สง่า ดามาพงษ์ นักโภชนาการแถวหน้าของเมืองไทย ดั้งนั้น การที่เราจะเลือกกินแบบฉลาดคือกินอย่างไรไม่ให้อ้วน เราต้องรู้ข้อมูลดังต่อไปนี้

1. ขนมเข่ง ส่วนประกอบของมันนั้น มีเพียงแค่แป้งและน้ำตาลเท่านั้น
2. ขนมเข่งหนึ่งชิ้น ให้พลังงาน 150–200 กิโลแคลลอรี่ หรือเท่ากับข้าวขาวหรือข้าวกล้องประมาณ 2 ทัพพี
3. ดังนั้นอยากกินจริงๆ นักโภชนาแนะนำว่าไม่ควรกินขนมเข่งมากกว่า 1 ชิ้นใน 1 วัน
4. ถ้าหากต้องการที่จะกินขนมเข่ง 2 ชิ้น ต้องเดินเร็ว 90 นาที หรือว่ายน้ำ 30 นาทีโดยประมาณ จึงจะเผาผลาญพลังงานส่วนเกินได้หมด
5. บางคนที่ชื่นชอบ ในการที่นำขนมเข่งที่นำไปตากแดดแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ชุบไข่ทอด เป็นการเพิ่มพลังงานแคลลอรี่จากไขมันและไข่เข้าไป 1 ชิ้น ให้พลังงาน 60-80 กิโลแคลอรี่ เท่ากับข้าว 1 ทัพพี ไม่ควรกินมากกว่า 3 ชิ้นใน 1 วัน
6. และเมื่อกินขนมเข่งแล้ว ต้องลดปริมาณอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลในระหว่างวันให้น้อยลงอีกด้วย
เป็นอย่างไรบ้างละค่ะ เมื่อทราบข้อมูลพวกนี้และละก็ ลองทำตามดูนะค่ะ เพราะว่าจะได้ไม่ต้องมาเสียขวัญเวลาที่น้ำหนักขึ้นหลังจากหมดเทศกาลค่ะ เป็นกำลังใจให้คุณผู้หญิงที่ดูแลตัวเองทุกคน



ขอขอบคุณข้อมูลจาก: health.kapook.com/view56297.html
ขอขอบคุณรูปภาพจาก: oknation.net/blog/home/blog_data/449/14449/images/DSC00852.JPG 

ประโยชน์ของกระทิผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มะพร้าว

มะพร้าว เป็นพืชที่มีประโยชน์มากมาย และถือเป็นพืชผลไม้คู่ครัวไทยมาช้านาน ในผลมะพร้าว 1 ผลสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย และบทความนี้จะขอบรรยายถึงสรรพคุณต่างๆ ของ “กะทิ” ของเหลวสีขาวขุ่นที่ได้มาจากการคั้นเนื้อมะพร้าวทึนทึก นั่นเอง 

กะทิ สามารถนำไปประกอบหาอารได้ทั้ง อาหารคาว และอาหารหวาน เลยทีเดียว ประโยชน์มากมาย และมีการใช้กะทิในด้านต่างๆ มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันและป้องกันของร่างกาญ 

สารอาหารในกะทิ 
ในกะทิมีวิตามินหลายชนิด แร่ธาตุ และอิเล็กโทรไลท์ รวมทั้งโพแทสเซียม แคลเซียม และคลอไรด์ไขมันอิ่มตัว ไขมันอิ่มตัวในน้ำมันมะพร้าวถูกสร้างขึ้นจากกรดไขมันห่วงโซ่สั้นและห่วงโซ่กลางได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นพลังงานแทนการจัดเก็บเป็นไขมัน ดังนั้นแม้ว่าไขมันอิ่มตัวจะสูง แต่มะพร้าวสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้ 

กรดไขมันที่มีขนาดปานกลาง ซึ่งถูกย่อยได้ง่าย และเคลื่อนย้ายได้สะดวก เมื่อบริโภคเข้าไป จะผ่านลำคอไปยังกระเพาะเข้าสู่ลำไส้ แล้วไปถูกเผาผลาญให้เป็นพลังงานในตับโดยไม่ไปสะสมเป็นไขมันเหมือนกับน้ำมันไม่อิ่มตัวที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ดังนั้นผู้บริโภคกะทิจึงแข็งแรงเพราะได้พลังงานทันทีที่บริโภคเข้าไป 

อีกทั้งยังไปกระตุ้น ให้ต่อมธัยรอยด์ทำงานได้ดีขึ้น ก่อให้เกิดความร้อน จากผลของอุณหภูมิ Thermogenesis ซึ่งช่วยในการเผาผลาญอาหารที่บริโภคเข้าไปพร้อมกัน ให้เปลี่ยนเป็นพลังงานแทนที่จะไปสะสมเป็นไขมันในร่างกาย นี่จึงเหตุผทลที่ว่า กะทิ ช่วยในเรื่องการลดน้ำหนักได้ นั่นเอง 

กรดลอริค(Lauric Acid) ครึ่งของห่วงโซ่กรดไขมันกลางในกะทิประกอบด้วยกรดลอริค ซึ่งช่วยต้านไวรัส ป้องกันแบคทีเรีย ป้องกันจุลินทรีย์ และต้านเชื้อรา กะทิสามารถช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีทีเดียว 

บรรเทาโรคภัยไข้เจ็บ 
กะทิเป็นที่รู้จัก เพื่อบรรเทาอาการของการเจ็บคอและแผล และเป็นทางเลือกสำหรับผู้แพ้แลคโตสหรือแพ้นมจากสัตว์ เครื่องดื่มมังสวิรัตินี้ยังรวมถึงถั่วเหลือง และถั่ว 




ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : 
www.thaimtb.com 
www.archive.voicetv.co.th 


ประโยชน์ขององุ่นหลากสี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ องุ่น

องุ่น เป็นผลไม้ที่หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดบ้านเรา และยังมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว เป็นที่ถูกใจสำหรับคนทุกเพศทุกวัย นอกจากจะมีรสชาติดี แล้วยังหาซื้อง่ายอีกด้วยค่ะ ซึ่งในผลองุ่นจะมีวิตามินและสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะที่เปลือกและเมล็ด อย่างที่เราเคยได้ยินถึงการสกัดน้ำมันจากเมล็ดองุ่นมาเป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิวหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ น้ำมันนี้ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวของก้อนเลือด และลดโคเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (ไขมันไม่ดี) จึงช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบเลือดและหัวใจได้ดี นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย

ส่วนวิตามินต่างๆ ที่พบในองุ่นนั้นก็มีมากมายหลายชนิด ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นได้เร็ว อาจเป็นเพราะน้ำตาลในองุ่นเป็นน้ำตาลที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เลย จึงช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกาย และกระตุ้นให้ตับทำหน้าที่ฟอกเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ซึ่งองุ่นบ้านเราจะมีให้เลือกถึง 3 สีหลักๆ และมีประโยชน์โดดเด่นแตกต่างกันไปดังนี้ค่ะ 


องุ่นเขียว: องุ่นเขียวอุดมไปด้วยสารพฤกษเคมีซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น คาเตชิน (Catechin) และเทอร์ซอทิลบีน (Ptersotilbene) องุ่นเขียวจึงช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคของระบบประสาท โรคอัลไซเมอร์ และลูคีเมีย ตลอดจนป้องกันการติดเชื้อราและเชื้อไวรัสต่างๆ ด้วยค่ะ 

องุ่นแดง: องุ่นแดงนั้นจัดเป็นราชินีแห่งผลไม้ทุกชนิด และมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมาย เพราะสีแดงเข้มของผลองุ่นประกอบด้วย สารฟลาวโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีสารอาหารสำคัญ คือ เรสเวอราทรอล (Resveratrol) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และช่วยชะลอวัย นอกจากนี้ยังมีสารซาโปนิน (Saponin) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านแบคทีเรีย ไวรัส ป้องกันเนื้องอก ลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ซึ่งส่งผลต่อการป้องกันโรคหัวใจอีกด้วยค่ะ 

องุ่นดำ สถาบันการแพทย์ Mayo Clinic แนะนำว่า ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ให้กินองุ่นดำวันละ 1 ครั้ง อาจกินเป็นของกินเล่น หรือใส่ในสลัดก็ได้ เพราะจากการศึกษาพบว่าองุ่นดำอุดมด้วยไฟเบอร์ ทำให้รู้สึกอิ่ม และให้แคลอรี่ต่ำ ทำให้การทำงานของลำไส้เป็นไปตามปกติ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ในองุ่นดำยังช่วยในการขับท็อกซินออกจากร่างกาย ซึ่งช่วยในกระบวนการลดน้ำหนักให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วยค่ะ 

ขอบคุณข้อมูลจาก 
http://www.cheewajit.com/articleView.aspx?cateId=6&articleId=2295 
http://women.thaiza.com/องุ่น…เพื่อสุขภาพและความงาม/209974/ 
ขอบคุณรูปภาพจาก 
http://news.thaiorc.com/lifestyle_news.php?contentID=1212100020

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561







ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ผลไม้ลดความอ้วน


ผลไม้ลดความอ้วน
1. แอปเปิล

         
ผลไม้ลดน้ำหนักอันดับต้น ๆ ต้องยกให้แอปเปิลเลย ด้วยปริมาณไฟเบอร์ที่มากล้น บวกกับวิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้เราไม่รู้สึกหิวบ่อยเมื่อกินแอปเปิล ลดปัญหากินจุบจิบได้ชะงัด

         
อีกทั้งไฟเบอร์ที่แอปเปิลมียังจะช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่องตัวมากขึ้น ส่วนเรื่องผิวพรรณสวยใสก็ขอให้ไว้ใจวิตามินหลากชนิดในแอปเปิลเขาเลย

2. ส้ม

          
ส้มไม่เพียงแค่มีกากใยสูง วิตามินซีเยอะเท่านั้น แต่ยังมีคอลลาเจนเพื่อผิวสวย ๆ ของเราอีกด้วยล่ะ ที่สำคัญส้มยังเป็นผลไม้ฉ่ำน้ำ ยิ่งกินมากก็จะช่วยให้ผิวพรรณดูมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง ชุ่มชื้นขึ้น เรียกง่าย ๆ ว่าสวยได้แค่กินส้มเป็นประจำเท่านั้นเอง

3. ทับทิม

         
ถ้าพูดถึงผลไม้เพื่อผิวขาวใส ทับทิมก็ติดอยู่ในลิสต์นั้นด้วยค่ะ เพราะทั้งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยกระตุ้นผิวให้ผลิตคอลลาเจน และช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่สึกหรอได้อีกทาง

         
ส่วนเรื่องกินทับทิมแล้วอ้วนไหม ? ตอบตรงนี้เลยว่าไม่จ้า ก็ทับทิมเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพขึ้น ลดไขมันในเลือด พร้อมทั้งไขมันเลวในร่างกายและกระชับสัดส่วนได้ในคราวเดียวกัน
4
. กล้วยน้ำว้า

          
กล้วยเป็นผลไม้อีกชนิดที่มีใยอาหารสูงมาก ซึ่งไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยดูดซับไขมัน น้ำตาล และสารพิษต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ไหลลื่น นอกจากนี้กล้วยน้ำว้ายังอุดมไปด้วยวิตามินบี 3 ที่มีคุณสมบัติช่วยลดอาการผิวหนังอักเสบ และบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส